ดื่มน้ำด่างที่ถูกต้องควรทำอย่างไร ใครบ้างที่ไม่ควรดื่ม
ดื่มน้ำด่างที่ถูกต้องควรทำอย่างไร ใครบ้างที่ไม่ควรดื่ม
หากคุณกำลังเริ่มดื่มน้ำด่างเพื่อสุขภาพ
แต่ยังไม่แน่ใจ ว่าการดื่มน้ำด่างนั้น แตกต่างจาก การดื่มน้ำทั่วไปอย่างไร
วันนี้เรามีวิธีดื่มน้ำด่างที่ถูกต้อง รวมถึงวิธีปรับตัวในช่วงแรก ของการดื่ม น้ำด่างง่าย ๆ มาแนะนำ เพื่อให้การดูแลตัวเองของคุณ เป็นไปได้อย่างราบรื่น และมีสุขภาพดีในระยะยาว
วิธีดื่มน้ำด่างที่ถูกต้อง
ควรทำอย่างไร
1. ดื่มน้ำด่างตามช่วงเวลา
- ดื่ม 1 แก้วหลังตื่นนอน
เนื่องจากขณะที่เรานอนหลับ ร่างกายจะเข้าสู่ภาวะขาดน้ำ
ควรดื่มน้ำทันทีหลังตื่นนอนเพื่อชดเชยน้ำที่เสียไป ควรดื่มน้ำที่มีอุณหภูมิพอเหมาะ
เช่น อุณหภูมิห้อง หรือน้ำอุ่น แต่ไม่ควรดื่มน้ำร้อนเกินไป
เพราะจะทำให้เจ็บช่องปาก และการดื่มน้ำอุณหภูมิเหมาะสม
ยังช่วยกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัว และช่วยให้สมองปลอดโปร่งขึ้นด้วย
- ดื่ม 1 แก้ว
เวลา 08.00 น. ควรดื่มก่อนอาหารเช้า 1 ชั่วโมง เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำ
เข้าไปรบกวนระบบย่อยอาหาร จนทำให้ท้องอืด และกินข้าวน้อยลง
- ดื่มน้ำ 1 แก้ว
ช่วงเวลา 09.00 – 10.00 น. ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ตื่นตัว
กระตุ้นให้ร่างกายขับของเสียออก
- ดื่มน้ำ 2 แก้ว
หลังอาหารกลางวัน เวลา 13.00 – 16.00 น. ควรจิบเป็นระยะ ไม่ควรดื่มทีเดียว
เพราะนอกจาก จะดับกระหายได้ไม่นานแล้ว ยังทำให้ปวดท้องปัสสาวะง่าย
และเข้าห้องน้ำบ่อยด้วย
- ดื่มน้ำ 2 แก้ว
เวลา 17.00 – 19.00 น. ก่อนรับประทานเย็น อย่างน้อยน้อย 1 ชั่วโมง
ป้องกันไม่ให้น้ำเข้าไปรบกวนระบบย่อยอาหาร จนท้องอืด และกินข้าวน้อยลง
- ดื่มน้ำ 1 แก้ว
ช่วงเวลา 19.00 – 21.00 น. เน้นจิบเป็นระยะ เพื่อให้ระบบเลือด
และระบบลำไส้ทำงานเต็มที่ และไม่ควรดื่มมากเกินไป เพราะร่างกายไม่ได้ทำงานหนัก เหมือนช่วงอื่นของวัน
- ดื่มน้ำ 1 แก้ว
ก่อนนอน ไม่เกินเที่ยงคืน จะช่วยชะล้างสิ่งตกค้างในลำไส้
แนะนำว่าไม่ควรดื่มและเข้านอนทันที เพราะทำให้ปวดปัสสาวะกลางดึก
ต้องลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ จนนอนหลับไม่เต็มที่
2. ดื่มน้ำด่างให้เหมาะกับช่วงออกกำลังกาย
- ดื่มน้ำด่าง ประมาณ 500 – 600 มิลลิลิตร ก่อนออกกำลังกาย อย่างน้อย 2
– 3 ชั่วโมง
- ดื่มน้ำด่าง ประมาณ 200 – 300 มิลลิลิตร ก่อนออกกำลังกาย อย่างน้อย 30
นาที
- ดื่มน้ำด่าง ระหว่างออกกำลังกาย ประมาณ 200 – 300 มิลลิลิตร ทุก ๆ 10
– 20 นาที
- ดื่มน้ำด่าง หลังออกกำลังกาย ไม่เกิน 30 นาที หากดื่มหลังจากช่วงนี้ แนะนำให้จิบเรื่อย
ๆ เพื่อให้ร่างกายไม่ขาดน้ำ
- ดื่มน้ำด่าง หลังออกกำลังกาย ประมาณ 1 – 1.5
ลิตรต่อน้ำหนักตัวที่หายไป 1 กิโลกรัม
ใครบ้างที่ไม่ควรดื่มน้ำด่าง
-
ผู้ที่มีปัญหาโรคไต เนื่องจากอาจจะเกิดผลข้างเคียงรุนแรง
หลังจากการดื่มน้ำด่าง ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านก่อนดื่ม
-
ผู้ที่มีภาวะเหนื่อยง่าย หรือบวมน้ำ
-
ผู้ที่อยู่ในช่วง ระหว่างรักษาโรคมะเร็ง
เนื่องจากร่างกายใช้พลังงาน ในการดูดซึมแร่ธาตุจากน้ำด่าง เข้าสู่ร่างกายมากกว่าปกติ
ส่งผลให้เหนื่อยง่ายกว่าคนปกติ
-
เด็ก
เนื่องจากระบบทางเดินอาหารเจริญเติบโตไม่เต็มที่
-
ผู้ที่มีความผิดปกติหลังจากดื่มได้ไม่นาน
ควรหยุดดื่มทันที และไปปรึกษาแพทย์
ช่วงแรกต้องปรับตัวตรงไหนบ้าง
เมื่อคุณเริ่มดื่มน้ำด่างในช่วงแรก
น้ำด่างจะออกฤทธิ์ ขับล้างสารพิษออกจากเซลล์ต่าง ๆ ภายในร่างกายได้เป็นอย่างดี
ด้วยความที่น้ำด่างมีโมเลกุลเล็ก ร่างกายจึงดูดซึมเข้า และออกจากเซลล์ได้ง่ายกว่าน้ำดื่มทั่วไป
อีกทั้งยังขับเอาของเสียออกจากเซลล์ โดยไหลเข้าสู่กระแสเลือด และกำจัดออกผ่านทางไต
จึงทำให้ผู้ที่ดื่มน้ำด่างเป็นครั้งแรกจะรู้สึกมึนงง ซึ่งเป็นปฏิกิริยาตอบสนอง โดยธรรมชาติของร่างกาย
แต่อาการดังกล่าวจะหายไปเองเมื่อดื่มเป็นประจำ และปฏิบัติตามวิธีดื่มน้ำด่างที่แนะนำไป
เนื่องจากร่างกาย จะสร้างความคุ้นชินไปเอง แต่หากเกิดอาการผิดปกติ เช่น
เกิดแผลในช่องปากทั้ง ๆ ที่ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดร้อนใน หรือปวดท้องอย่างรุนแรง
อันเนื่องมาจากแผลในกระเพาะอาหาร ให้รีบพบแพทย์ทันที ซึ่งอาการเหล่านี้เกิดจาก น้ำด่างเข้มข้นบรรจุขวด
ที่ผู้ผลิตน้ำด่างที่ไม่ได้มาตรฐานนำไปเจือจาง
น้ำด่างหาซื้อได้จากที่ไหนบ้าง
น้ำด่าง ตราแมนเนเจอร์ของเรา
หาซื้อได้ที่ ร้านสะดวกซื้อชั้นนำ ได้แก่ 7 - 11 น้ำด่าง 7 - 11 , Big C ,
และสามารถสั่งซื้อได้ที่เว็บไซต์ แมนเนเจอร์ หรือช่องทางออนไลน์อื่น
ๆ น้ำด่างของเราสะอาด ปลอดภัย ได้มาตรฐานแน่นอน วางใจได้เลยค่ะ
การดื่มน้ำด่าง ก็เหมือนกับการดื่มน้ำเปล่าแบบทั่วไป
สามารถดื่มทดแทนการดื่มน้ำเปล่าได้ โดยการดื่มน้ำในแต่ละวัน สิ่งที่ต้องคำนึงถึงมี
2 ประการหลัก ๆ คือ น้ำดื่มที่เราดื่มต้องเป็น น้ำที่มีความสะอาด บริสุทธิ์
และมีแร่ธาตุ มีสภาพของน้ำเป็นกลาง หรือเป็นด่างอ่อน ๆ จึงจะดีต่อสุขภาพ
โดยน้ำด่างเป็นน้ำที่มีคุณสมบัติเหล่านี้ และยังมี ค่า pH เป็นด่างอ่อน อยู่ที่ 8.0 - 9.0 จึงดีต่อสุขภาพร่างกายของเรา
ช่วยในเรื่องของการปรับสมดุลสภาพความเป็นกรด – ด่างในร่างกายอีกด้วย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น